วันพฤหัสบดีที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2555


นกอีแจว
นกอีแจว Hydrophasianus chirurgus (Pheasant-tailed Jacana) ได้ชื่อว่าเป็นราชินีนกน้ำเพราะรูปร่างหน้าตาที่สวยงามโดยเฉพาะในชุดขนฤดูผสมพันธุ์

นกชนิดนี้ได้ชื่อไทยว่าอีแจวเพราะเมื่อนกตัวเมียวางไข่แล้วก็จะแจวจากไปหาคู่ใหม่ และปล่อยให้นกตัวผู้กกไข่และเลี้ยงลูกไปตามลำพัง หรือจะได้ชื่อนี้มาจากเสียงร้องแจ๊วๆ แจวๆก็ไม่แน่ใจ เพราะฟังแล้วน่าเชื่อถือทั้งคู่ (แม้ว่าฝรั่งจะได้ยินนกชนิดนี้ร้องเหมือนแมวร้องแบบโกรธๆก็ตาม)


ความยาวจากปลายปากจรดปลายหางประมาณ31เซ็นติเมตร นกตัวเมียตัวโตกว่านกตัวผู้เล็กน้อย แต่ไม่มีความแตกต่างในชุดขนทำให้จำแนกได้ยากเมื่อเห็นทีละตัวในธรรมชาติ


ในชุดขนนอกฤดูผสมพันธุ์นกจะมีลักษณะคล้ายนกพริกตัวไม่เต็มวัยเพราะจะมีลำตัวด้านบนสีน้ำตาล ลำตัวด้านล่างสีขาว เมื่อรวมกับรูปทรงที่คล้ายคลึงกันอาจทำให้จำแนกผิดได้ ดังนั้นจึงต้องสังเกตที่แถบตาสีดำที่ลากผ่านคอด้านข้างต่อเนื่องลงมาถึงแถบอก และแถบข้างคอจนถึงท้ายทอยสีเหลืองของนกอีแจวไว้ให้ดี

ดูนกในชุดขนนอกฤดูผสมพันธุ์ คลิกที่นี่


ในชุดขนฤดูผสมพันธุ์ นกชนิดนี้จะมีขนคลุมร่างกายส่วนใหญ่เป็นสีน้ำตาล ดำ ทำให้หน้า หน้าผาก คอและแถบปีกสีขาวดูโดดเด่นออกมา แต่เวลาก้มหัวก็จะเห็นแต้มสีน้ำตาลเข้มที่กระหม่อม มีเส้นสีดำหรือน้ำตาลเข้มพาดผ่านแต้มที่กระหม่อมนี้ลากยาวผ่านข้างคอทั้งสองข้างลงไปยังหน้าอกด้านข้างเหมือนเป็นเส้นขอบให้แถบขนสีเหลืองทองสดใสซึ่งกินบริเวณยาวลงไปถึงท้ายทอย หางสีดำที่ยื่นยาวออกมามากจากหางปรกติยาวได้ตั้งแต่ 8-27 เซ็นติเมตร ทำให้นกชนิดนี้แตกต่างจากนกน้ำอื่นอย่างเห็นได้ชัด






ในแต่ละปีนกจะมีช่วงผลัดขนหนึ่งครั้ง และในช่วงนี้นกอีแจวจะไม่สามารถบินได้ การหลบหนีศัตรูต้องใช้การว่ายน้ำ ดำน้ำและหลบซ่อนตัวเท่านั้น

นกอีแจวทำรังวางไข่บนพืชลอยน้ำในบึงซึ่งเป็นแหล่งอาศัยในช่วงฤดูฝน การแสดงบทบาทในเรื่องนี้ของนกในวงศ์นกพริก(Jacanidae)ถือว่ากลับกันกับสัตว์ชนิดอื่นๆ กล่าวคือนกตัวผู้ทำรัง ดูแลรัง กกไข่และเลี้ยงลูก ขณะที่นกตัวเมียซึ่งตัวโตกว่า ก้าวร้าวกว่าเป็นผู้ปกป้องรัง ปกป้องคู่หรือปกป้องอาณาเขต

นกตัวเมียจับคู่กับตัวผู้หลายตัวในหนึ่งฤดูกาล ซึ่งหมายความว่าจะต้องดูแลอาณาเขตมากกว่าหนึ่งอาณาเขตด้วย




เมื่อนกอีแจวตัวเมียวางไข่ซึ่งมีประมาณครอกละ4ฟองแล้วก็จะไปจับคู่กับนกตัวผู้ตัวใหม่เพื่อวางไข่ครอกต่อไป ขณะที่นกตัวผู้เจ้าของผลงานก้มหน้าก้มตากกไข่เป็นเวลายี่สิบสองถึงยี่สิบแปดวันโดยนกตัวเมียจะคอยช่วยปกป้องดูแล เมื่อลูกนกฟักเป็นตัวแล้วก็จะเลี้ยงลูกเป็นคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยว อย่างไรก็ตาม การที่นกตัวเมียจับคู่กับนกตัวผู้ทีละหลายตัวก็ทำให้นกตัวผู้ที่ฟักไข่และดูแลลูกอาจจะกำลังดูแลลูกที่ไม่ใช่ผลผลิตของตัวเองก็เป็นได้




เข้าใจว่าการที่นกต้องมีพฤติกรรมเช่นนี้เพราะว่าไข่ที่ถูกวางไปแต่ละรุ่นนั้นมีอัตราการรอดชีวิตจนโตเพียงไม่ถึงครึ่งเนื่องจากสภาพแวดล้อมเช่นภาวะน้ำท่วมและสัตว์ศัตรูเช่นงูน้ำ นกใหญ่ ที่จะมาทำลายไข่ ทำให้แม่นกต้องลดเวลาที่ต้องใช้ในการกกไข่ลงไปเพื่อผลิตไข่เพิ่มเติมแทน




ลูกนกอีแจวแรกเกิดมีขนอ่อนนุ่มแบบลูกเจี๊ยบ มีสีสันที่เหมาะกับการพรางตัว มีเท้าใหญ่โตเหมือนพ่อแม่ เกิดมาก็เดินและว่ายน้ำดำน้ำได้เลย พ่อนกจะสอนให้ลูกเดินหาอาหารและหลบศัตรู มีผู้พบว่าลูกนกอีแจวสามารถดำน้ำหลบศัตรูได้โดยโผล่มาแต่ปลายปากนิดๆที่มีรูสำหรับหายใจ




พ่อนกอีแจวเป็นพ่อที่ทุ่มเทให้กับการเลี้ยงลูกมาก บางครั้งก็แกล้งทำปีกหักหรือแกล้งกกไข่ในที่ที่ไม่มีไข่เพื่อให้ศัตรูมาสนใจตัวเองแทนลูกๆ นอกจากนี้ยังมีเสียงร้องระวังภัยสำหรับเรียกลูกๆกลับมาซุกใต้ปีกหรือให้ไปหลบตามกอพืชน้ำ หรือดำน้ำหลบ และเมื่อปลอดภัยก็ส่งเสียงบอกลูกๆให้โผล่ขึ้นมาได้ด้วย




อาหารของนกชนิดนี้คือแมลงเล็กๆหรือเมล็ดพืชที่จับและจิกกินได้ตามผิวน้ำและตามกอพืชน้ำในบึง ด้วยนิ้วเท้ายาวเก้งก้างตามแบบฉบับของนกน้ำทำให้นกอีแจวเดินบนพืชลอยน้ำได้อย่างสบาย หากจะหล่นก็กระพือปีกช่วยได้ นอกจากนี้นกอีแจวว่ายน้ำได้คล่อง และบินได้ดีพอสมควร




นกชนิดนี้มีการกระจายถิ่นในปากีสถาน เนปาล อินเดีย ศรีลังกา จนถึงพม่า ตะวันออกเฉียงใต้ของจีน ไต้หวัน ลงใต้ไปยังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คามสมุทรมลายู บอร์เนียวใต้และฟิลิปปินส์ จำนวนเล็กน้อยเดินทางลงใต้ไปยังเกาะสุมาตราและชวาหรือไปทางตะวันตกสู่โอมานและเยเมนในช่วงฤดูหนาว สำหรับที่ไต้หวันนกชนิดนี้กำลังเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์

นกอีแจวส่วนใหญ่เป็นนกที่อยู่ประจำถิ่นแต่ก็มีบางส่วนจากจีนตอนใต้และเทือกเขาหิมาลัยอพยพลงมายังคาบสมุทรอินเดียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วย

สำหรับประเทศไทยนกอีแจวมีทั้งนกประจำถิ่นและนกอพยพ โดยสามารถพบได้บ่อยในบางพื้นที่เช่นบึงบอระเพ็ดจังหวัดนครสวรรค์ หรือตามบึงบัว บ่อปลาสลิด ทุ่งนาที่มีน้ำท่วม เป็นต้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น